บางคนอาจจะเบื่อเพราะคิดว่าไม่เห็นจำเป็นแค่จับคอร์ดก็เล่นกีตาร์ได้แล้วก็ใช่ครับ แต่การที่เราจะเข้าการเล่นกีตาร์ให้ลึกซึ้งลงไปมากกว่าแค่นั่งตีคอร์ดมีความจำเป็นมากครับอย่างน้อยก็ต้องพอรู้ในเบื้องต้นจะใช้ให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้น และยิ่งถ้าคุณจะศึกษาการเล่นกีตาร์ในระดับที่ยากขึ้นคุณหนีไม่พ้นแน่นอนครับกับเรื่องทฤษฎีดนตรี
ผมอยากจะบอกว่าทฤษฎีนั้นมีความสำคัญเหมือนกันถึงผมอาจจะไม่รู้มากนัก แต่ก็คิดว่าเพียงพอสำหรับการฝึกในระดับเบื้องต้น ซึ่งมันสามารถช่วยให้ผมเล่นกีตาร์และเข้าใจมันได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการแกะเพลงหรือสร้างสรรค์ผลงานเองได้ด้วย ดังนั้นจึงน่าที่จะได้ศึกษาเอาไว้บ้าง รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามนะครับ เพราะถ้าเล่นเป็นอย่างเดียวโดยที่ไม่สนใจทฤษฎีเลยนั้นอาจจะมีปัญหาในการฝึกขั้นสูงต่อไป เอาล่ะครับเรามาดูรายละเอียดกันเลยดีกว่า
ดังที่ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่าขนาดของสายและการกำหนดความสั้นยาวของสายโดยกดสายแต่ละเส้นที่แต่ละเฟร็ตนั้นจะทำให้ได้ระดับเสียงที่ต่างกันไป ซึ่งหมายถึงทุก ๆ ช่องบนคอกีตาร์จะมีระดับเสียงหรือโน็ตประจำอยู่นั่นเองแต่ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้รู้จักโน็ตดนตรีเบื้องต้นกันก่อน
โน็ตดนตรีคือเครื่องหมายที่แทนค่าเสียงดนตรีนั่นเองเพื่อให้มีความเป็นสากลในการบันทึกเช่นการเขียนหนังสือให้คนอ่านหนังสืออ่านอ่าน แต่โน็ตใช้บันทึกดนตรีให้นักดนตรีเล่น เราจะแบ่งพิจารณาใน 2 ลักษณะคือ
- ระดับเสียงสูงต่ำของโน๊ตดังกล่าว โดยสามารถทราบจากระบบ "บรรทัด 5 เส้น" (staff)
- ระยะความสั้นยาวของเสียงดังกล่าวหรือเรียกว่าจังหวะ โดยจะทราบจากลักษณะของตัวโน๊ต เช่น โน๊ตตัวกลม ตัวดำ เป็นต้น
เกิดจากเส้นตรง 5 เส้น ขีดซ้อนกันในแนวดิ่ง ซึ่งจะบอกให้ทราบถึงระดับเสียงของดนตรีหรือตัวโน๊ตนั้นว่าเป็นเสียงอะไร โดยที่แต่ละเส้นและช่องระหว่างเส้นทั้ง 5 นั้นจะมีค่าเสียงที่ต่างกันจากเสียงต่ำไปหาสูงถ้าไล่จากเส้นล่างไปหาเส้นบน และจะกำหนดค่าของเสียงด้วยกุญแจ (Key Signature) สำหรับกีตาร์จะเป็นกุญแจซอล (treble clef หรือ G-clef) ซึ่งกำหนดให้เส้นที่ 2 จากล่างมีค่าเป็นเสียงซอล ดังนั้นจะได้เสียงประจำเส้นและช่องต่าง ๆ ของ staff ดังนี้
โดยที่ระดับเสียงต่ำจะอยู่ด้านล่างของ staff และเมื่อระดับเสียงนั้นสูง หรือต่ำเกินกว่าในบรรทัด 5 เส้นปกติ ก็จะเขียนเส้นขนานเล็ก ๆ ที่ด้านบนเพื่อบันทึกโน๊ตเมื่อระดับเสียงสูงกว่าในบรรทัด 5 เส้นปกติ และในทางตรงกันข้ามถ้าระดับเสียงต่ำกว่าปกติก็จะเขียนเส้นดังกล่าวขนานกับบรรทัด 5 เส้นด้านล่าง ซึ่งเส้นดังกล่าวนี้เรียกว่า"เส้นน้อย" (Leger Line)
สำหรับระดับเสียงของดนตรีสากลนั้นมี 7 เสียง แทนด้วยตัวอักษร 7 ตัวแรกของภาษาอังกฤษคือ A, B, C, D, E, F และ G แต่ในการอ่านจะเริ่มจาก C และอ่าน C = โด , D = เร, E = มี, F = ฟา, G = ซอล, A = ลา, B = ที จากนั้นก็จะวนกลับไปที่ C (โด) แต่จะมีระดับเสียงที่สูงกว่า C ตัวแรก (เรียกว่าเสียงสูงกว่า 1 อ๊อกเท็ป [Octave] ซึ่งจะกล่าวต่อไป)
ในขั้นแรกขอให้เพื่อน ๆ จำให้ได้ก่อนนะครับว่าเสียงอะไรแทนด้วยสัญลักษณ์อะไรซึ่งมีความสำคัญมากในการศึกษาขั้นต่อไป และผมจะแทนเสียงต่าง ๆ นั้นด้วยตัวอักษรในการอธิบายต่อไป
การกำหนดค่าความสั้นยาวของเสียง
นอกจากระดับเสียงแล้วเราต้องกำหนดความสั้นยาวของเสียงโดยการใช้สัญลักษณ์ทางดนตรีอันได้แก่
โน๊ตตัวกลม | |
โน๊ตตัวขาว | |
โน๊ตตัวดำ | |
โน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น | หรือเมื่อมี 2 ตัวติดกันจะเขียน |
โน๊ตเขบ็ต 2 ชั้น | หรือเมื่อมี 2 ตัวติดกันจะเขียน |
และอาจจะมีถึงโน๊ตเขบ็ต 3 หรือ 4 ชั้นก็ได้ และอาจจะเขียนตัวโน๊ตกลับหัวก็ได้ทั้งนี้แล้วแต่ความเหมาะสมในการเขียน นอกจากสัญลักษณ์ที่บอกความสั้นยาวของเสียงที่เล่นออกมาแล้ว ยังมีสัญลักษณ์ที่บอกถึงความสั้นยาวของเสียงที่ไม่ได้เล่น หรือ กำหนดความสั้นยาวของการหยุดเสียงซึ่งเรียกว่า "ตัวหยุด" โดยจะแบ่งเหมือนประเภทแรกแต่ความหมายตรงกันข้ามคือประเภทแรกบอกความสั้นยาวในการเล่นเสียงออกมา แต่ตัวหยุดจะบอกความสั้นยาวของการหยุดเสียงโดยใช้สัญลักษณ์ดังนี้
ตัวหยุดเทียบเท่าโน๊ตตัวกลม | |
ตัวหยุดเทียบเท่าโน๊ตตัวขาว | |
ตัวหยุดเทียบเท่าโน๊ตตัวดำ | |
ตัวหยุดเทียบเท่าโน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น | |
ตัวหยุดเทียบเท่าโน๊ตเขบ็ต 2 ชั้น |
ในการบันทึกโน๊ตดนตรีจะต้องแบ่ง staff ออกเป็นส่วน ๆ เท่า ๆ กันด้วยเส้นกั้นแต่ละห้องในแนวดิ่งที่เรียกว่า bar line โดยที่ผลรวมของจังหวะทั้งหมดในแต่ละห้องต้องมีความยาวหรือจังหวะเท่ากัน และ 1 ห้อง จะเรียกว่า 1 bar
ตอนนี้เราทราบระดับเสียงของโน๊ตจาก staff (C, D, E ฯลฯ) ทราบความสั้นยาวของโน๊ตจากลักษณะของตัวโน๊ต (ตัวดำ,ตัวขาว ฯลฯ) คราวนี้เราจะมารู้จักตัวที่กำหนดจังหวะให้ตัวโน๊ต โดยที่เมื่อกี้เรารู้เพียงอัตราส่วนของตัวโน๊ตเท่านั้นเช่น ตัวขาวมีความยาวเป็น 1/2 ของตัวกลม แต่เป็น 2 เท่าของตัวดำ แต่เรายังไม่รู้ว่าไอ้ความยาวเสียงนั้นมันยาวเท่าไหนถึงเรียกว่าครบ 1 จังหวะ ซึ่งสิ่งที่จะกำหนดให้เราทราบค่าดังกล่าวจาก Time Signature โดยจะเขียนเป็นตัวเลขเศษส่วนกัน เช่น
เรามาดูความหมายของตัวเลขต่าง ๆ กันนะครับ
- ตัวเลขตัวบน หมายถึง จำนวนจังหวะใน 1 ห้อง(1 bar) ว่าใน 1 ห้องดังกล่าวนั้นมีกี่จังหวะนับ เช่น 2 หมายถึงในห้องนั้นมี 2 จังหวะนับ ถ้า 3 คือ มี 3 จังหวะนับใน 1 ห้อง
- ตัวเลขตัวล่าง หมายถึง การกำหนดว่าจะให้สัญลักษณ์โน๊ตประเภทใดมีค่าเป็น 1 จังหวะ เช่นเลข 4 จะหมายถึงให้โน๊ตตัวดำ (quarter note) มีค่าเป็น 1 จังหวะ และมีผลให้โน๊ตตัวขาว (half note)มีค่าเป็น 2 จังหวะนับ โน๊ตตัวกลม whole note) มีค่าเป็น 4 จังหวะนับ และโน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น (eighth note) มีค่า 1/2 จังหวะนับ เป็นต้น
หรือถ้าเป็น 8 หมายถึงให้โน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น (eighth note) มีค่าเป็น 1 จังหวะ โน๊ตตัวดำ (quarter note) มีค่าเป็น 2 จังหวะ และมีผลให้โน๊ตตัวขาว (half note)มีค่าเป็น 4 จังหวะนับ โน๊ตตัวกลม whole note) มีค่าเป็น 8 จังหวะนับ และโน๊ตเขบ็ต 2 ชั้น (sixteenth note) มีค่า 1/2 จังหวะนับ เป็นต้น และลองมาดูตัวอย่าง time signature ที่พบเห็นบ่อย ๆ กันนะครับ
2 | ให้โน๊ตตัวดำมีค่าเป็น 1 จังหวะ และมี 2 จังหวะใน 1 ห้อง |
4 | |
3 | ให้โน๊ตตัวดำมีค่าเป็น 1 จังหวะ และมี 3 จังหวะใน 1 ห้อง |
4 | |
4 | ให้โน๊ตตัวดำมีค่าเป็น 1 จังหวะ และมี 4 จังหวะใน 1 ห้อง |
4 | |
6 | ให้โน๊ตเขบ็ต 1 ชั้นมีค่าเป็น 1 จังหวะ และมี 6 จังหวะใน 1 ห้อง |
8 | |
12 | ให้โน๊ตเขบ็ต 1 ชั้นมีค่าเป็น 1 จังหวะ และมี 12 จังหวะใน 1 ห้อง |
8 |
ในบางกรณีทีเราต้องการให้ค่าตัวโน๊ตนั้นมีจังหวะยาวขึ้นมาอีก ครึ่งหนึ่งของตัวมันเอง เราจะใช้จุด (dot) แทนค่าให้เพิ่มจังหวะอีกครึ่งนึงของตัวเองโดยเขียนจุดไว้ด้านข้างของตัวโน๊ตที่ต้องการเพิ่มจังหวะ เช่นเมื่อต้องการสร้างโน๊ต 3 จังหวะจากโน๊ตตัวขาวที่มีค่า 2 จังหวะ(กรณีที่ time signature เป็น 4/4 โน๊ตตัวขาวมีค่า 2 จังหวะ)เราก็ประจุดโน๊ตตัวขาวซึ่งมีผลให้มีจังหวะเพิ่มขึ้นครึ่งนึงของ 2 คือ 1รวมเป็น 3 จังหวะ หรือเท่ากับโน๊ตตัวดำ 3 ตัว
หรือเมื่อให้โน๊ตตัวดำ(มีความยาว 1 จังหวะ)ประจุดก็จะหมายถึงจังหวะจะเพิ่มขึ้นอีกครึ่งนึงของ 1 คือ 1/2 รวมเป็น 1 1/2 หรือ 1จังหวะครึ่งนั่นเองซึ่งมีค่าเท่ากับโน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น 3 ตัว ลองดูจากการเปรียบเทียบข่างล่างนี้
สำหรับโน๊ตประจุดนั้นจะใช้เพิ่มจังหวะที่อยู่ในห้องเดียวกัน แต่เมื่อต้องการให้จังหวะของโน๊ตตัวนั้นยาวข้ามไปยังอีกห้องหรืออีก bar นึงนั้นเราจะใช้สัญลักษณ์ tie หรือเส้นโยงโน๊ตข้ามไปอีกห้องโดยที่โน๊ตตัวที่อยู่ทางท้ายเส้นโยงนั้นไม่ต้องเล่น แต่เล่นที่ตัวทางหัวเส้นโยงแล้วนับจังหวะรวมไปถึงตัวที่อยู่ท้ายเส้น (ดูจากรูปนะครับแล้วลองฝึกนับในใจดู โดยอาจเคาะมือหรือเท้าเป็นจังหวะนับก็ได้) อย่างไรก็ตาม tied note สามารถใช้ร่วมในห้องเดียวกันก็ได้ความหมายก็เช่นเดียวกันคือเล่นโน๊ตตัวแรกแล้วนับจังหวะรวมกับโน๊ตที่อยู่ท้ายเส้นโยง
หมายเหตุ ตัว C ที่เห็นอยู่ต่อจากกุญแจซอลนั้นหมายถึง time signature 4/4 ในการเขียนโน็ตมักแทนด้วย C
จากตัวอย่างข้างบนจะเห็นมี 2 จุดที่มี tied โน๊ต จุดที่ 1ในห้องแรก โน๊ตตัว D เป็นโน๊ตตัวดำมีเส้นโยงไปยังโน๊ต D ที่เป็นโน๊ตตัวตำอีกตัว ในเชิงปฏิบัติคุณจะดีดโน๊ตตัวขาวตัวแรกเสียง B นับ 2 จังหวะ จากนั้นดีดโน๊ตตัวที่สองคือตัวดำตัวแรกแต่เราจะนับจังหวะรวมกับตัวดำตัวที่สอง(เนื่องมาจากเส้นโยง)แล้วนับรวมเป็น 2 จังหวะดังนั้นในห้องแรกคุณจะเล่นโน๊ตแค่ 2 ตัวคือโน๊ต B ตัวขาว และโน๊ต D ตัวดำนับ 2 จังหวะเช่นกัน
และที่จุดที่สองเป็นการโยงข้ามห้องจากห้องที่สองโน๊ต C ตัวดำไปยังห้องที่สามโน๊ต C ตัวขาว หลักการปฏิบัติเช่นเดียวกับแบบแรกคือเล่นโน๊ต C ตัวดำแต่นับจังหวะรวมโน๊ตตัวขาวไปด้วยดังนั้นรวมจังหวะในการเล่นโน๊ต C ตัวนี้เป็น 3 จังหวะ(ตัวดำ 1 จังหวะ + ตัวขาว 2 จังหวะ = 3 จังหวะ)
ข้อสังเกตอย่างนึงคือการใช้ tied note มักจะเป็นโน๊ตตัวเดียวกัน ถ้าเกิดเป็นโน๊ตคนละตัวจะไม่ใช่ tied note แต่อาจจะเป็นโน๊ตแฮมเมอร์ ออนถ้าตัวท้ายเส้นโยงมีระดับเสียงสูงกว่าตัวหน้า และอาจจะเป็นพูล ออฟ ถ้าโน๊ตตัวท้ายเส้นโยงเสียงต่ำกว่าตัวหน้า เป็นต้น
ลองมาดูตัวอย่างการบันทึกโน๊ตดนตรีดูนะครับ อาจจะยากไปนิดนึงแต่ลองศึกษาดูครับ ศึกษาไว้เล็กน้อยพอเข้าใจหน่อยก็ยังดีครับเผื่อไว้ต่อไปอาจจะได้ศึกษาในขั้นที่สูง ๆ ต่อไปได้ ผมได้เลือกเพลงดฟล์คเก่า ๆ ที่หลายคนคงรู้จักคือเพลง 500 ไมล์ส่วนหนึ่งมาให้ลองดู พร้อมทั้งคำอธิบายการอ่านโน๊ต
อธิบายการอ่าน
ลำดับตัวโน๊ต | ชื่อโน๊ต |
จำนวนจังหวะ |
1 | G | 1 |
2 | C | 1 |
จังหวะรวม (เศษห้อง) | 2 | |
3 | E | 1.5 |
4 | E | 0.5 |
5 | D | 1 |
6 | C | 0.5 |
7 | D | 0.5 |
จังหวะรวมห้อง 1 | 4 | |
8 | E | 1.5 |
9 | E | 0.5 |
10 | D | 1 |
11 | C | 1 |
จังหวะรวมห้อง 2 | 4 | |
12 | D | 1.5 |
13 | E | 0.5 |
14 | D | 1 |
15 | C | 1 |
จังหวะรวมห้อง 3 | 4 | |
16 | A | 3 |
17 | A | 0.5 |
18 | C | 0.5 |
จังหวะรวมห้อง 4 | 4 | |
19 | D | 1.5 |
20 | E | 0.5 |
21 | D | 1 |
22 | C | 0.5 |
23 | A | 0.5 |
จังหวะรวมห้อง 5 | 4 | |
24 | G | 1.5 |
25 | G | 0.5 |
26 | A | 1 |
27 | C | 1 |
จังหวะรวมห้อง 6 | 4 | |
29 | C | 4 |
จังหวะรวมห้อง 7 | 4 |
จากตารางจะมีเพียงห้องแรก ซึ่งเรียกว่าเศษห้องจะมีไม่ครบ 4 จังหวะแต่นอกนั้นทุกห้องจะรวมได้ 4 จังหวะหมด ตาม time signature ที่เป็นตัว C นั่นแหละครับหมายถึง 4/4 ซึ่งทำให้โน๊ตตัวดำมีค่าเป็น 1 จังหวะและทั้งห้อง หรือ 1 bar จะมี 4 จังหวะ
เครื่องหมาย ชาร์ฟ และ แฟล็ท (Sharp & Flat)
จากที่ได้รู้จักเสียงดนตรีทั้ง 7 เสียงนั้นถือเป็นระดับเสียงตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งระดับเสียงจะห่างกัน 1 เสียงเต็ม (หมายถึงระดับความสูงต่ำของเสียงนะครับ) แต่จะมี 2 คู่ที่ต่างกันครึ่งเสียง คือ ระหว่าง E, F และ B, C ไม่ใช่ครึ่งจังหวะนะครับอย่าเพิ่งงงล่ะครับ ตอนนี้เราพูดถึงเรื่องระดับของเสียงอยู่ไม่ใช่จังหวะ
ในการแต่งเพลงหรือดนตรีสากลมักจะมีเสียงที่เป็นครึ่ง ๆ คือไม่ใช่เสียงเต็มแบบธรรมชาติซึ่งไม่มีกำหนดในสัญลักษณ์ดนตรีสากล จึงต้องมีการสร้างสัญลักษณ์เพื่อทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงสูงขึ้นหรือต่ำลงครึ่งเสียงและสัญลักษณ์ดังกล่าวก็คือเครื่องหมายชาร์ฟ (#) และแฟล็ท (b) นั่นเอง
- เครื่องหมาย ชาร์ฟ (Sharp ; #) เมื่อปรากฎที่โน๊ตตัวใดจะทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงสูงขึ้นครึ่งเสียงเช่น C# อ่านว่า ซี-ชาร์ฟ จะมีระดับเสียงสูงกว่า C อยู่ครึ่งเสียง
- เครื่องหมาย แฟล็ท (Flat ; b) ตรงกันข้ามกับ # เมื่อปรากฎที่โน๊ตตัวใดจะทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงต่ำลงครึ่งเสียงเช่น Eb อ่านว่า อี-แฟล็ท จะมีระดับเสียงต่ำกว่า E อยู่ครึ่งเสียง
ดังนั้นจะต้องมีโน๊ตที่มีระดับเสียงซ้ำกันอันได้แก่ C# = Db , D# = Eb , F# = Gb , G# = Ab และ A# = Bb นอกจากนี้ยังมี Cb = B , B# = C , E# = F และ Fb = E ซึ่งแบบหลังมักไม่นิยมเขียนในรูป # , b
เมื่อมีการกำหนดเครื่องหมาย # หรือ b ลงบน staff ที่ในช่องระหว่างเส้น หรือบนเส้นใดก็ตาม(ศึกษาจากเรื่อง scale ได้) จะมีผลบังคับให้ตัวโน๊ตทุก ๆ ตัวที่อยู่บนเส้นหรือในช่องนั้น ๆ ถูกบังคับด้วย # หรือ b เช่นกัน นอกจากนี้ยังรวมถึงโน๊ตที่มีเสียงเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ช่องหรือบนเส้นใดของ staff ดังเช่น เมื่อมีการติดเครื่องหมาย # ไว้บนเส้นบนสุดของ staff ซึ่งเส้นนี้มีเสียง F อยู่ เมื่อมี # อยู่บนเส้นนี้จะมีผลให้โน๊ตทุกตัวที่อยู่บนเส้นนี้มีค่าเป็น F# ทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องเขียน # ไว้ที่โน๊ตทุก ๆ ตัว นอกจากนี้โน๊ตที่มีเสียง F ทั้งหมดเช่นในช่องล่างสุด(ระหว่างเส้นที่ 1 กับ 2) ซึ่งมีเสียง F เช่นกัน ก็จะกลายเป็น F# ไปโดยปริยาย สำหรับเครื่องหมาย b ก็เช่นเดียวกันแต่จะทำให้ค่าของโน๊ตลดลงครึ่งเสียง
แต่ในการแต่งเพลงบางทีอาจต้องการปรับกลับมาให้เป็นเสียงเต็ม คือต้องการถอดเครื่องหมาย # , b ออกชั่วคราวเช่นแค่ 1 หรือ 2 ห้องหรือเพียงแค่โน๊ตตัวเดียวที่ต้องการปลดเจ้า #, b ออก ดังนั้นเราจึงมีเครื่องหมายอีกตัวที่ใช้ในการปลดเจ้า #, b ออก
- เครื่องหมายเนเจอรัล (naturals ; ) เครื่องหมายนี้จะตรงกันข้ามกับ #, b คือ เมื่อปรากฎที่โน๊ตตัวใดจะทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงเป็นปกติตามสัญลักษณ์ของมัน คือใช้ในการถอดเครื่องหมาย #, b นั่นเอง เช่นจากตัวอย่างที่แล้ว staff เส้นบนสุดติด # อยู่ดังนั้นเสียง F จึงกลายเป็น F# แต่ที่โน๊ตตัวหนึ่งเราต้องการให้เป็นเสียง F เฉย ๆ เราก็จะเขียนเครื่องหมาย naturals ไว้ที่โน๊ตตัวดังกล่าว ซึ่งมีผลให้เฉพาะโน๊ตตัวนั้นที่กลายเป็น F
หากต้องการยกเลิกเครื่องหมาย #, b ทั้งห้องนั้นก็จะเขียน naturals ไว้บนเส้นนั้นเลย เช่นที่ห้องหนึ่งผมต้องการยกเลิก F# ทั้งหมด ผมก็จะใส่เครื่องหมาย naturals ไว้บน staff เส้นบนสุดในห้องนั้น
ลองมาดูตัวอย่างพร้อมคำอธิบายดูครับ
ตัวอย่างแรกเป็นสเกลทาง # โดยมี 1 # คือ F# ซึ่งอยู่ในสเกล G major และ time signature เป็น 4/4 (หรือเครื่องหมาย C) เรามาดูโน๊ตที่น่าสนใจกัน
โน๊ตตัวที่ 1 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง F แต่เนื่องจากใน staff นี้ติด 1 # คือ F# ดังนั้นโน๊ตตัว F ทุกตัวต้องติด # หมดจึงมีผลให้โน๊ตตัวที่ 1ติด #ไปด้วยเป็น F#
โน๊ตตัวที่ 2 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง G แต่ติด # จึงกลายเป็น G#
โน๊ตตัวที่ 3 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง F# (เหตุผลเดียวกับโน๊ตตัวที่ 1) แต่ติด จึงกลายเป็น F ธรรมดา
โน๊ตตัวที่ 4 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง F# (เหตุผลเดียวกับโน๊ตตัวที่ 1) แม้จะมี ในห้องที่สอง แต่มันจะมีผลเฉพาะในห้องนั้นเมื่อขึ้นห้องใหม่แล้วก็จะเหมือนเดิม
โน๊ตตัวที่ 5 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง G แต่ติด # จึงกลายเป็น G#
โน๊ตตัวที่ 6 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง F# (เหตุผลเดียวกับโน๊ตตัวที่ 1) แม้จะมี ในห้องที่สอง แต่มันจะมีผลเฉพาะในห้องนั้นเมื่อขึ้นห้องใหม่แล้วก็จะเหมือนเดิมเหมือนตัวที่ 4
โน๊ตตัวที่ 7 จะมีผลเป็น G# เนื่องมาจากโน๊ตตัวที่ 5 แต่ติด จึงกลายเป็น G ธรรมดา
โน๊ตตัวที่ 8 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง F# เนื่องมาจากโน๊ตตัวที่ 4
ตัวอย่างที่สองเป็นสเกลทาง b โดยมี 1 b คือ Bb ซึ่งอยู่ในสเกล F major ลองมาดูรายละเอียดดูนะครับ
โน๊ตตัวที่ 1 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง B แต่เนื่องจากใน staff นี้ติด 1 b คือ Bb ดังนั้นโน๊ตตัว B ทุกตัวต้องติด b หมดจึงมีผลให้โน๊ตตัวที่ 1ติด b ไปด้วยเป็น Bb
โน๊ตตัวที่ 2 เนื่องจากโน๊ตตัวที่ 1จะมีเสียง Bb แต่เนื่องจากติด จึงมีผลให้กลายเป็น B ธรรมดา
โน๊ตตัวที่ 3 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง D แต่ติด b จึงกลายเป็น Db
โน๊ตตัวที่ 4 ยังคงเป็น Bb แม้ว่าโน๊ตตัวที่ 2 จะติด natural ก็ตาม แต่เมื่อต่าง octave หรือคนละขั้นเสียง natural จะไม่มีผล
โน๊ตตัวที่ 5 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง E แต่ติด b จึงกลายเป็น Eb
โน๊ตตัวที่ 6 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง Bb (เหตุผลเดียวกับโน๊ตตัวที่ 1) แม้จะมี ในห้องที่สอง แต่มันจะมีผลเฉพาะในห้องนั้นเมื่อขึ้นห้องใหม่แล้วก็จะเหมือนเดิม
โน๊ตตัวที่ 7 จะมีเสียง Bb เหตุผลเดียวกับโน๊ตตัวที่ 6
โน๊ตตัวที่ 8 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง G แต่ติด b จึงกลายเป็น Gb
จากทั้ง 2 ตัวอย่างผมได้แสดงทั้งระบบ notation และ tablature เพื่อให้คุณได้เห็นว่าโน๊ตแต่ละตัวนั้นอยู่บนตำแหน่งใดบนฟิงเกอร์บอร์ดเพื่อให้เห็นความแตกต่างได้ชัดเจนขึ้น สำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับระบบ tab โปรดดูรายละเอียดในหัวข้อเรื่องการอ่าน tablature
เอาล่ะครับถึงตรงนี้คุณก็ได้รู้จักโน๊ตดนตรีกันพอสมควรแล้ว ถ้าสนใจจริง ๆ คุณสามารถหาหนังสือ ทฤษฎีดนตรีสากลมาอ่าน หรือไปเรียนในโรงเรียนดนตรีได้ก็จะดีมากเลยครับ ผมมันก็รู้แค่งู ๆ ปลา ๆ อาจจะอธิบายได้ไม่กระจ่างนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับการเล่นกีตาร์เบื้องต้นแล้วล่ะครับ สำหรับเรื่องของสเกล และการอ่าน score หรือโน๊ตดนตรีผมจะกล่าวต่อไปภายหลังนะครับ ตอนนี้ผมแค่อยากให้คุณรู้จักโน๊ต ระดับเสียงและจังหวะดนตรีว่าคืออะไร ใช้สัญลักษณ์อะไร เรียกยังไง อ่านยังไง ทั้งหมดนี้รู้ไว้เป็นพื้นฐานนะครับผมจะเน้นการสอนจาก tablature มากกว่าซึ่งผมจะกล่าวรายละเอียดต่อไป