มารู้จักคำว่า "สายทด" กันหน่อย
เนื่องจากมีผู้ที่เล่นกีตาร์หลาย ๆ คน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งจะเริ่มหัดเล่นอาจจะยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่า "สายทด" เพราะว่าคำว่า "สายทด" นั้นในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องนำมาใช้แล้ว ซึ่งทำไมนั้นลองอ่านกันต่อไป
คำว่า "สายทด" เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว (ประมาณ พ.ศ. 2511) ซึ่งวงการดนตรีร็อคทั้งในอเมริกาและยุโรปกำลังเฟื่องฟูอย่างมาก ในระยะนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงสไตล์การเล่นกีตาร์มาตามลำดับ นักกีตาร์ส่วนใหญ่ต้องการสายที่ให้เสียงกีตาร์ที่ใสและคม มากกว่าสายที่ให้เสียงทุ้มและหนักแน่นในแบบของดนตรีแจ๊ส ซึ่งได้รับความนิยมและมีอิทธิพลอย่างมากก่อนยุคของดนตรีร็อค ดังนั้นการผลิตสายกีตาร์ในยุคนั้นจึงมักจะเป็นสายใหญ่ทั้งชุด โดยจะเริ่มต้นด้วยขนาด (เส้นผ่านศูนย์กลาง) 0.13 นิ้ว เป็นสาย 1 และอีกทั้งสมัยนั้นในอเมริกาและอังกฤษยังไม่มีการผลิตสายกีตาร์อย่างจริงจัง สายกีตาร์เกือบทั้งหมดผลิตจากเยอรมัน ขนาดของสายซึ่งเป็นสายใหญ่และให้เสียงทุ้ม หนักแน่นในไสตล์เพลงแจ๊สทั้งชุด จึงไม่เหมาะกับเพลงป๊อปร็อค ซึ่งต้องการเสียงที่ใส ดังนั้นนักดนตรีร็อคในยุคนั้นจึงพยายามหาทางออกโดยการซื้อสายมา 1 ชุด แล้วเอาสาย 6 ออกไป และเลื่อนมาใช้สาย 5 แทนสาย 6 ,สาย 4 แทนสาย 5 ,สาย 3 แทนสาย 4 ,สาย 2 แทนสาย 3 และสาย 1 แทนสาย 2 จากนั้นจึงไปหาซื้อสาย1 ที่มีขนาดเล็กกว่ามาอีก 1 เส้นใส่ที่สายที่ 1 และเนื่องจากการตัดสาย 6 ออกไป จึงเป็นที่มาของคำว่า"สายทด" ซึ่งนักดนตรีในบ้านเราสมัยนั้นก็เช่นกัน ก็ไม่สามารถหาสายชุดเล็กได้ก็ต้องทำการทดสายแบบเดียวกัน จึงนิยมพูดกันติดปากมาตลอด
แต่หลังจากนั้นประมาณ พ.ศ. 2516 โรงงานผลิตสายกีตาร์ในอเมริกา อังกฤษ และเยอรมัน จึงเริ่มหันมาผลิตสายกีตาร์ที่มีขนาดเล็กลงมาตามลำดับ จนกระทั่งในที่สุดอีกไม่นานหลังจากนั้นโรงงานผลิตสายกีตาร์เกือบทั่วโลกจึงได้มีการกำหนดสายกีตาร์ขนาดต่าง ๆ ออกมาเพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน ซึ่งได้แก่
1. สายชุด Heavy Gauge หมายถึง สายขนาดใหญ่ที่ให้เสียงทุ้มและหนักแน่น
2. สายชุด Medium Guage หมายถึง สายชุดขนาดกลางซึ่งให้เสียงทุ้มและหนักแน่นเช่นกัน และได้รับความนิยมในหมู่นักกีตาร์แจ๊สในปัจจุบัน
3. สายชุด Light Guage เป็นสายชุดขนาดเล็ก (สายทด) ที่ให้เสียงคมใส ปัจจุบันมักใช้เล่นในเพลงสไตล์ แจ๊สร็อค ป๊อปและร็อค ทั่ว ๆ ไป
4. สายชุด Extra Light Guage เป็นสายชุดขนาดเล็กพิเศษ (สายทด) ซึ่งให้เสียงคมและใสสามารถเล่นดันสายได้ง่าย เหมาะกับเพลงสไตล์ป๊อปและร็อคทั่วไป
5. สายชุด Ultra หรือ Super Light Guage เป็นสายชุดที่เล็กที่สุด (สายทด) ให้เสียงแหลมใสและคมมาก มักใช้ในดนตรีร็อค เช่นการโซโล่
และที่ได้มีการผลิตสายออกมาเป็นชุด ๆ เพื่อเป็นบรรทัดฐานนี้ ก็เนื่องจากในสมัยก่อนไม่มีการผลิตสายเป็นชุดอย่างนี้ ทำให้นักกีตาร์ต้องหาสายขนาดเล็กกันเอง โดยอาศัยการทดสาย 1 ถึง 2 เส้น ทำให้ขาดความสมดุลย์ของเสียงและแรงดึงและ ทำให้เสียงที่ได้ไม่มีมาตรฐานและขาดความราบเรียบของเสียง โรงงานผลิตสายกีตาร์ทั้งโลกจึงพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีดังกล่าวนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้เองคำว่า "สายทด" จึงได้หมดไปและไม่จำเป็นต้องใช้ตั้งแต่ยุคดังกล่าว เนื่องจากมีการทำสายชุดที่เป็นสายทดอยู่แล้วถึง 3 ขนาด คือ สายชุดเล็กมาตรฐาน Light Guage , สายชุดเล็กพิเศษ Extra Light Guage และสายชุดเล็กที่สุดคือ Super หรือ Ultra Light Guage ซึ่งเราก็สามารถเลือกใช้สายขนาดต่าง ๆ ให้เหมาะกับสไตล์ของเราได้โดยลืม "การทดสาย" ไปได้เลย เพราะสายชุดทั้ง 3 ขนาดมีการออกแบบจัดเรียงขนาด และแรงดึงของสายไว้อย่างเหมาะสมอยู่แล้ว
คราวนี้เรามาดูมาตรฐานของขนาดสายกีตาร์แต่ละชนิด ได้แก่
สายกีตาร์ไฟฟ้า มีขนาดต่าง ๆ ดังนี้
- Medium Guage สาย 1 จะมีขนาด 0.013" สาย 6 ขนาด 0.056"
- Light Guage สาย 1 จะมีขนาด 0.010" สาย 6 ขนาด 0.046"
- Extra Light Guage สาย 1 จะมีขนาด 0.009" สาย 6 ขนาด 0.042"
- Super หรือ Ultra Light Guage สาย 1 จะมีขนาด 0.008" สาย 6 ขนาด 0.038"
สายกีตาร์โปร่ง / โฟล์ค มีขนาดต่าง ๆ ดังนี้
- Heavy Guage สาย 1 จะมีขนาด 0.014" สาย 6 ขนาด 0.056"
- Medium Guage สาย 1 จะมีขนาด 0.013" สาย 6 ขนาด 0.056"
- Light Guage สาย 1 จะมีขนาด 0.012" สาย 6 ขนาด 0.053"
- Extra Light Guage สาย 1 จะมีขนาด 0.010" สาย 6 ขนาด 0.053"
- Super หรือ Ultra Light Guage สาย 1 จะมีขนาด 0.009" สาย 6 ขนาด 0.049" (สาย 3 เป็นสายเรียบ ขนาด 0.015")
เราจะสังเกตได้ว่า ขนาดมาตรฐานของสายกีตาร์ไฟฟ้าและของสายกีตาร์โปร่งขนาดของสาย 1 ถึงสาย 6 จะใกล้เคียงกันผิดกันแต่สาย 3 ของกีตาร์ไฟฟ้ามักจะเป็นสายเรียบ และสาย 3 ของกีตาร์โปร่งมักเป็นสายพันยกเว้นชุด Super หรือ Ultra Light Guage เท่านั้นที่สาย 3 เป็นสายเรียบ
ซึ่งสำหรับสายขนาดนี้ผมขอแนะนำสำหรับการเริ่มฝึกหัดเนื่องจากมีขนาดเล็กเวลากดสายจับคอร์ดจะเจ็บน้อยกว่าสายขนาดใหญ่ (แต่ยังไงก็ต้องเจ็บสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มหัด) หรือแม้แต่มือเก่าก็ตามผมว่าเป็นขนาดที่เล่นง่ายให้เสียงใส กดไม่เจ็บนิ้วมากนักทำให้เล่นคอร์ดทาบได้ง่าย และยังง่ายต่อการดันสาย เวลาโซโล่อีกด้วย แต่ถ้าต้องการเล่นตีคอร์ดที่ให้เสียงดังหนักแน่น ก็อาจจะเลือกสายที่ใหญ่ขึ้นมา 1 ชุด คือ ขนาด Extra Light Guage ส่วนจะเป็นยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่ความชอบครับ ลองเล่นดูหลาย ๆ ยี่ห้อก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป
นี่ก็เป็นอีกเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจอีกเรื่องนึงในเรื่องของกีตาร์ แล้วผมจะสรรหาเรื่องราวน่าสนใจในวงการกีตาร์มาเล่าสู่กันฟังต่อไปครับ ถ้าเพื่อน ๆ อยากให้ลงเรื่องอะไรเป็นพิเศษเมลล์มาแจ้งได้เลยครับแล้วผมจะพยายามไปค้นคว้ามาลงไว้ที่นี่เพื่อเป็นความรู้กับทุก ๆ คนครับ